วิธีลดการบิดงอของชิ้นงานสแตนเลสหลังเชื่อม

การบิดงอของชิ้นงานหลังเชื่อมเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในงานเชื่อมสแตนเลส ซึ่งส่งผลกระทบต่อความแม่นยำทางมิติและคุณภาพของผลิตภัณฑ์สุดท้าย การเข้าใจหลักการและเทคนิคการควบคุมการบิดงอจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติงานเชื่อมระดับมืออาชีพ

สาเหตุของการบิดงอในการเชื่อมสแตนเลส

คุณสมบัติทางกายภาพของสแตนเลส

สแตนเลสมีค่าสัมประสิทธิ์การขยายตัวทางความร้อนสูงกว่าเหล็กคาร์บอนประมาณ 50% โดยมีค่าประมาณ 17.3 × 10⁻⁶/°C สำหรับเกรด 304 การนำความร้อนที่ต่ำกว่าเหล็กธรรมดาประมาณ 40% ทำให้ความร้อนสะสมในบริเวณเชื่อมมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการขยายตัวและหดตัวอย่างรุนแรง

การกระจายความร้อนไม่สม่ำเสมอ

ในกระบวนการเชื่อม ความร้อนจะเกิดขึ้นในบริเวณจำกัดและกระจายออกไปรอบๆ การขยายตัวและหดตัวที่ไม่สม่ำเสมอนี้เป็นต้นเหตุหลักของการเกิดความเครียดภายในและการบิดงอของชิ้นงาน

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจุลภาค

การเชื่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจุลภาคในบริเวณ HAZ (Heat Affected Zone) ซึ่งมีผลต่อคุณสมบัติทางกลและการเกิดความเครียดตกค้าง

เทคนิคการควบคุมการบิดงอ

การเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสม

การเลือกใช้**ลวดเชื่อมสแตนเลส**ที่มีค่าสัมประสิทธิ์การขยายตัวใกล้เคียงกับโลหะฐานจะช่วยลดการเกิดความเครียดที่รอยต่อ ลวดเชื่อมเกรด 308L มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับการเชื่อมสแตนเลส 304 และ 304L โดยให้ความเครียดตกค้างที่ต่ำ

การควบคุมพลังงานความร้อนขาเข้า (Heat Input)

การลดพลังงานความร้อนขาเข้าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการลดการบิดงอ สูตรการคำนวณพลังงานความร้อนขาเข้า:

Heat Input (kJ/mm) = (Voltage × Current × 60) / (1000 × Travel Speed)

สำหรับสแตนเลส ควรควบคุมให้พลังงานความร้อนขาเข้าอยู่ในช่วง 0.8-1.5 kJ/mm เพื่อให้ได้รอยเชื่อมที่มีคุณภาพและลดการบิดงอ

เทคนิคการจัดลำดับการเชื่อม

การเชื่อมแบบ Skip Welding

การเชื่อมข้ามไปมาแทนการเชื่อมต่อเนื่องจะช่วยกระจายความร้อนและลดการสะสมความเครียด ระยะห่างที่แนะนำระหว่างจุดเชื่อมคือ 5-10 เท่าของความหนาของแผ่น

การเชื่อมแบบ Back-step

การเชื่อมย้อนกลับในแต่ละช่วงสั้นๆ ประมาณ 25-50 มม. จะช่วยควบคุมทิศทางของการขยายตัวและลดการบิดงอในแนวยาว

การใช้ Fixtures และ Jigs

การจับยึดชิ้นงานด้วย fixtures ที่เหมาะสมจะช่วยจำกัดการเคลื่อนที่ระหว่างเชื่อม อย่างไรก็ตาม การจับยึดแน่นเกินไปอาจทำให้เกิดความเครียดสูงและการแตกร้าว จึงควรปล่อยให้มีการขยายตัวได้ในบางทิศทาง

วิธีการป้องกันการบิดงอขั้นสูง

Pre-heating และ Post-heating

การอุ่นชิ้นงานก่อนเชื่อมที่อุณหภูมิ 150-200°C จะช่วยลดอัตราการเย็นตัว และลดการเกิดความเครียดภายใน การควบคุมอุณหภูมิระหว่างรอยเชื่อม (Interpass Temperature) ไม่ให้เกิน 200°C จะช่วยป้องกันการเกิด sensitization

การใช้เทคนิค Peening

การใช้ค้อนเคาะรอยเชื่อมขณะที่ยังร้อนอยู่จะช่วยลดความเครียดตกค้างได้ อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้ต้องใช้ความระมัดระวังและความชำนาญสูงเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อรอยเชื่อม

การออกแบบรอยต่อที่เหมาะสม

การออกแบบรอยต่อให้มีการกระจายความเครียดที่ดี เช่น การใช้ Butt Joint แทน Lap Joint เมื่อเป็นไปได้ และการหลีกเลี่ยงการใช้รอยต่อที่มีมุมแหลม

การประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ

งานเชื่อมแผ่นบาง

สำหรับแผ่นสแตนเลสความหนาต่ำกว่า 3 มม. ควรใช้**ลวดเชื่อมสแตนเลส**ขนาดเล็ก เช่น 2.0 มม. ด้วยกระแสไฟต่ำ และความเร็วสูง เพื่อลดพลังงานความร้อนขาเข้า

งานเชื่อมโครงสร้าง

สำหรับงานโครงสร้างขนาดใหญ่ ควรวางแผนลำดับการเชื่อมอย่างละเอียด เริ่มจากจุดกึ่งกลางและเชื่อมออกไปทั้งสองทาง เพื่อให้การขยายตัวสมมาตร

การวัดและประเมินผล

การใช้ Strain Gauges

การติดตั้ง strain gauges เพื่อวัดความเครียดระหว่างการเชื่อมจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของชิ้นงานและปรับปรุงกระบวนการได้

การตรวจสอบด้วย Coordinate Measuring Machine (CMM)

การวัดความแม่นยำทางมิติด้วย CMM จะช่วยประเมินประสิทธิภาพของเทคนิคการควบคุมการบิดงอที่ใช้

มาตรฐานและข้อกำหนดสากล

ตามมาตรฐาน AWS D1.6/D1.6M:2017 Structural Welding Code - Stainless Steel การควบคุมการบิดงอในงานเชื่อมโครงสร้างสแตนเลสต้องไม่เกิน L/360 ของความยาวรวม โดย L คือความยาวของชิ้นงาน

การปฏิบัติตามมาตรฐาน ISO 14732 สำหรับการเชื่อมสแตนเลสจะช่วยให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่

การใช้ Laser Welding

เทคโนโลยีการเชื่อมด้วยเลเซอร์ให้พลังงานความร้อนขาเข้าที่ต่ำมากและความแม่นยำสูง ทำให้สามารถลดการบิดงอได้อย่างมีนยสำคัญ

การจำลองด้วยคอมพิวเตอร์

การใช้ software จำลอง เช่น ANSYS หรือ ABAQUS ในการทำนายการบิดงอก่อนการเชื่อมจริง จะช่วยให้สามารถวางแผนและปรับปรุงกระบวนการล่วงหน้า

สรุป

 

การควบคุมการบิดงอในการเชื่อมสแตนเลสต้องอาศัยความเข้าใจในหลักการทางวิทยาศาสตร์และการประยุกต์ใช้เทคนิคที่หลากหลาย การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม การวางแผนลำดับการเชื่อม และการควบคุมพารามิเตอร์การเชื่อมอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพและความแม่นยำตามที่ต้องการ การลงทุนในเทคโนโลยีและการฝึกอบรมบุคลากรจะส่งผลให้งานเชื่อมมีประสิทธิภาพและความเชื่อถือได้ในระยะยาว